Skip to content

โรนัลด์ คูมัน (Ronald Koeman) แสดงความมั่นใจในการนำทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ สู่รอบชิงชนะเลิศ ยูโร 2024

โรนัลด์ คูมัน (Ronald Koeman) กุนซือทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ แสดงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในการนำทัพ "อัศวินสีส้ม" เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2024 โดยต้องเอาชนะทีมชาติ อังกฤษ ในรอบรองชนะเลิศให้ได้

ทั้งสองทีมต่างถูกวิจารณ์อย่างหนักจากผลงานที่ไม่น่าประทับใจตลอดทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมชาติ อังกฤษ ที่ถูกคาดหวังสูงในฐานะหนึ่งในตัวเต็งแชมป์ แต่กลับทำได้เพียงเอาชนะคู่แข่งแบบหวุดหวิดในหลายนัด ทำให้แฟนบอลและสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

คูมัน (Ronald Koeman) กล่าวว่า "ผมมีความมั่นใจอย่างสูงสำหรับเกมที่จะเจอกับ อังกฤษ จากที่ผ่านมา พวกเขาเอาชนะคู่แข่งมาได้อย่างยากลำบาก ผมคิดว่าพวกเขาถูกวิจารณ์หนักกว่าเราเสียอีก อังกฤษ เป็นชาติใหญ่ในวงการฟุตบอลโลก ผมรู้จัก แกเร็ธ เซาธ์เกต (Gareth Southgate) เป็นอย่างดี เราเคยเจอกับพวกเขาใน เนชั่นส์ ลีก มาแล้ว และเราก็ทำผลงานได้ดีในการเจอกับพวกเขา" และแฟนบอลท่านใดที่ไม่อยากพลาดการเดิมพันฟุตบอลทางเว็บไซต์มี แทงบอลยูโรสเต็ป ให้ทุกท่านครับ

นอกจากนี้ คูมัน (Ronald Koeman) ยังแสดงความยินดีกับผลโพลล่าสุดจากสื่อ เยอรมัน บิลด์ ที่สำรวจความคิดเห็นของแฟนบอลชาว เยอรมัน ว่าต้องการให้ทีมใดคว้าแชมป์ ยูโร 2024 มากที่สุด ซึ่งผลปรากฏว่าทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ ได้รับคะแนนโหวตสูงสุด

"มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่ได้ยินว่าแฟนบอลชาว เยอรมัน คิดเช่นนั้น" คูมัน (Ronald Koeman) กล่าว "มันแสดงให้เห็นว่าในมุมมองของพวกเขา ความเป็นคู่อริระหว่างเราได้จางหายไปแล้ว ซึ่งจากมุมมองของผมเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ความเป็นศัตรูแบบนั้นได้หายไปนานแล้ว"

ความสัมพันธ์ระหว่าง เนเธอร์แลนด์ และ เยอรมนี ในวงการฟุตบอลนั้นมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน โดยทั้งสองทีมเคยมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในอดีต แต่ในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

การที่แฟนบอลชาว เยอรมัน ส่วนใหญ่เชียร์ให้ เนเธอร์แลนด์ คว้าแชมป์ ยูโร 2024 นั้น อาจเป็นเพราะความชื่นชอบในสไตล์การเล่นที่สวยงามและมีเอกลักษณ์ของทีม "อัศวินสีส้ม" รวมถึงนักเตะดาวรุ่งหน้าใหม่ที่น่าจับตามองหลายคนในทีม

อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่รอบรองชนะเลิศของทั้ง เนเธอร์แลนด์ และ อังกฤษ นั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทั้งสองทีมต่างเจอกับอุปสรรคและแรงกดดันมหาศาลตลอดทัวร์นาเมนต์

เนเธอร์แลนด์ เริ่มต้นทัวร์นาเมนต์ด้วยฟอร์มที่ไม่สู้ดีนัก แต่สามารถปรับปรุงผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในรอบน็อคเอาท์ โดยเฉพาะในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่พวกเขาสามารถเอาชนะทีมแกร่งอย่าง โปรตุเกส ได้อย่างน่าประทับใจ

ส่วนทีมชาติ อังกฤษ แม้จะถูกยกให้เป็นหนึ่งในตัวเต็งแชมป์ แต่กลับทำได้เพียงเอาชนะคู่แข่งแบบหวุดหวิดในหลายนัด ทำให้ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากสื่อและแฟนบอลในประเทศ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังสามารถเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ

การเผชิญหน้ากันระหว่าง เนเธอร์แลนด์ และ อังกฤษ ในรอบรองชนะเลิศนี้ จึงถือเป็นเกมที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง โดยทั้งสองทีมต่างมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง

เนเธอร์แลนด์ มีจุดเด่นในเรื่องของเกมรุกที่หลากหลายและความแข็งแกร่งในแดนกลาง ในขณะที่ อังกฤษ มีความได้เปรียบในเรื่องของประสบการณ์ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่และความลึกของขุมกำลัง

ไม่ว่าผลการแข่งขันจะออกมาเช่นไร เชื่อว่าแฟนบอลทั่วยุโรปและทั่วโลกต่างรอคอยที่จะได้ชมเกมนี้อย่างใจจดใจจ่อ เพื่อดูว่าทีมไหนจะเป็นฝ่ายผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ และมีโอกาสคว้าแชมป์ ยูโร 2024 ในที่สุด

วันนี้ทางเรา จึงสรุปข่าวของ โรนัลด์ คูมัน (Ronald Koeman) มาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ และหากแฟนบอลท่านใดอยากเดิมพันทางเว็บไซต์มี แทงบอลยูโรสเต็ป ให้แฟนบอลทุกท่านครับ

 

คีลิยัน เอ็มบัปเป้ (Kylian Mbappé) เผยใจ: ขาด ปอล ป็อกบา (Paul Pogba) ทำให้ต้องปรับสไตล์การเล่น

คีลิยัน เอ็มบัปเป้ (Kylian Mbappé) ดาวยิงทีมชาติ ฝรั่งเศส เปิดเผยในการแถลงข่าวล่าสุดว่า การที่ ปอล ป็อกบา (Paul Pogba) มิดฟิลด์คนสำคัญไม่ได้ร่วมทีมในขณะนี้ ส่งผลให้เขาต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นของตัวเองอย่างมีนัยสำคัญ

เอ็มบัปเป้ (Kylian Mbappé) วัย 25 ปี ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งกัปตันทีมชาติ ฝรั่งเศส ได้สร้างชื่อเสียงจากความเร็วและความสามารถในการทะลวงแนวรับของคู่แข่ง แต่ในช่วงหลังมานี้ แฟนบอลและนักวิจารณ์สังเกตเห็นว่าเขาเปลี่ยนสไตล์การเล่นไปอย่างเห็นได้ชัด

ในงานแถลงข่าว เมื่อถูกถามถึงเหตุผลที่เขาไม่ค่อยวิ่งทะลวงแนวรับคู่แข่งเหมือนในอดีต เอ็มบัปเป้ (Kylian Mbappé) ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า "การเลือกรูปแบบการเล่นนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของทีมในแต่ละช่วงเวลา ตอนที่เรามี ป็อกบา (Paul Pogba) อยู่ในทีม ผมสามารถวิ่งไปไหนก็ได้ เพราะรู้ว่าเขาจะส่งบอลมาถึงผมได้เสมอ แต่ตอนนี้ผมจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป"

ป็อกบา (Paul Pogba) และ เอ็มบัปเป้ (Kylian Mbappé) เคยร่วมกันพาทีมชาติ ฝรั่งเศส คว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 2018 มาครองได้สำเร็จ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจกันเป็นอย่างดีในสนาม อย่างไรก็ตาม ป็อกบา (Paul Pogba) กำลังเผชิญกับปัญหานอกสนาม โดยถูกกล่าวหาว่าใช้สารต้องห้าม ส่งผลให้เขาถูกพักการแข่งขันชั่วคราวและไม่สามารถร่วมทีมชาติได้ในขณะนี้

การขาดหายไปของ ป็อกบา (Paul Pogba) ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อ เอ็มบัปเป้ (Kylian Mbappé) เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อทีมชาติ ฝรั่งเศส โดยรวมอีกด้วย ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ (Didier Deschamps) กุนซือทีมชาติ ฝรั่งเศส จำเป็นต้องปรับแผนการเล่นใหม่เพื่อทดแทนการขาดหายไปของมิดฟิลด์ตัวเก่งรายนี้

เอ็มบัปเป้ (Kylian Mbappé) กล่าวเพิ่มเติมว่า "การปรับตัวเป็นสิ่งสำคัญในฟุตบอล เราไม่สามารถยึดติดกับรูปแบบการเล่นเดิมๆ ได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อองค์ประกอบของทีมเปลี่ยนไป ผมต้องคิดมากขึ้นเกี่ยวกับจังหวะการวิ่ง และต้องสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมให้มากขึ้นเพื่อสร้างโอกาสในการทำประตู"

นอกจากนี้ เขายังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานเป็นทีม "แม้ว่าผมจะเป็นกองหน้า แต่ผมก็ต้องช่วยทีมในด้านอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการกดดันคู่แข่งหรือการช่วยเพื่อนร่วมทีมสร้างพื้นที่ว่าง การปรับบทบาทของผมไม่ได้หมายความว่าผมจะทำประตูได้น้อยลง แต่เป็นการพัฒนาเกมการเล่นของผมให้รอบด้านมากขึ้น"

อย่างไรก็ตาม เอ็มบัปเป้ (Kylian Mbappé) ยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติ ฝรั่งเศส โดยเฉพาะในช่วงที่ทีมกำลังเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ยูโร 2024 ที่จะมีขึ้นในประเทศ เยอรมนี ความสามารถในการปรับตัวของเขาจะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาทีมไปสู่ความสำเร็จและหากแฟนบอลอยากจะเลือกเดิมพันสามารถ สมัคร sbobet กับทางเราได้เลย

แม้ว่าการขาดหายไปของ ป็อกบา (Paul Pogba) จะส่งผลกระทบต่อทีม แต่มันก็เปิดโอกาสให้ผู้เล่นคนอื่นๆ ได้แสดงศักยภาพ เอ็มบัปเป้ (Kylian Mbappé) กล่าวทิ้งท้ายว่า "เรามีผู้เล่นที่มีคุณภาพมากมายในทีม ทุกคนพร้อมที่จะก้าวขึ้นมารับบทบาทสำคัญ ผมเชื่อว่าเราจะสามารถปรับตัวและเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะไม่มี ป็อกบา (Paul Pogba) ร่วมทีม"

การเปิดเผยของ เอ็มบัปเป้ (Kylian Mbappé) ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพและความสามารถในการปรับตัวของเขา ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของนักฟุตบอลระดับโลก การพัฒนาและปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นของเขาจะเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิดในการแข่งขันที่จะมาถึง และอาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักฟุตบอลรุ่นใหม่ในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

วันนี้ทางเรา จึงสรุปข่าวของ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ (Kylian Mbappé) มาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ และหากใครอยากเดิมพันเลือก สมัคร sbobet กับทางเราได้เลย

ทีมชาติอังกฤษเตรียมพบกับสวิตเซอร์แลนด์ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของศึกยูโร 2024 หลังจากเอาชนะสโลวาเกียในช่วงต่อเวลาพิเศษในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยจะลงสนามที่เมืองดุสเซลดอร์ฟในวันเสาร์ เวลา 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย หากผ่านเข้ารอบต่อไปได้ "สิงโตคำราม" จะเจอกับหนึ่งในทีมระหว่างโรมาเนีย เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย หรือตุรกีในรอบรองชนะเลิศ

โปรแกรมการแข่งขันของอังกฤษในยูโร 2024

คู่แข่งต่อไปของอังกฤษ
ทีมชาติอังกฤษมีคิวพบกับสวิตเซอร์แลนด์ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ในวันเสาร์ที่เมืองดุสเซลดอร์ฟ เริ่มแข่งเวลา 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ทีมของกาเร็ธ เซาธ์เกตเอาชนะสโลวาเกียในรอบ 16 ทีมสุดท้ายอย่างระทึกใจด้วยสกอร์ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ โดย จู๊ด เบลลิงแฮม (Jude Bellingham) ทำประตูตีเสมอด้วยลูกจักรยานอากาศในนาทีที่ 95 ก่อนที่ แฮร์รี่ เคน (Harry Kane) จะโหม่งประตูชัยเพียง 50 วินาทีหลังเริ่มต้นช่วงต่อเวลาพิเศษ "สิงโตคำราม" จะเจอกับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเอาชนะอิตาลี แชมป์เก่า ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยสกอร์ 2-0 ที่กรุงเบอร์ลิน อังกฤษซึ่งคว้าแชมป์กลุ่ม C ถูกมองว่าอยู่ในสายที่ได้เปรียบกว่า เมื่อเทียบกับอีกสายหนึ่งที่มีทีมยักษ์ใหญ่อย่างสเปน เยอรมนี โปรตุเกส ฝรั่งเศส และเบลเยียม

โอกาสในรอบรองชนะเลิศ

หากอังกฤษสามารถเอาชนะสวิตเซอร์แลนด์และผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้ พวกเขาจะได้ลงเล่นในรอบรองชนะเลิศที่เมืองดอร์ทมุนด์ ในวันพุธที่ 10 กรกฎาคม เริ่มแข่งเวลา 01.00 น. ตามเวลาประเทศไทย คู่แข่งที่เป็นไปได้ในรอบรองชนะเลิศของ "สิงโตคำราม" ได้แก่ โรมาเนีย เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และตุรกี

การเดินทางสู่แชมป์ ยูโร 2024

ทีมชาติอังกฤษเริ่มต้นทัวร์นาเมนต์อย่างแข็งแกร่งด้วยการคว้าแชมป์กลุ่ม C ก่อนจะผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายและเอาชนะสโลวาเกียได้อย่างหวุดหวิด การเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นของทีมภายใต้การคุมทีมของกาเร็ธ เซาธ์เกต อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ากับสวิตเซอร์แลนด์ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายจะเป็นบททดสอบที่สำคัญ เนื่องจากทีม "นาฬิกาข้อมือ" เพิ่งสร้างผลงานน่าประทับใจด้วยการเอาชนะแชมป์เก่าอย่างอิตาลีมาได้ หากอังกฤษสามารถผ่านด่านสวิตเซอร์แลนด์ไปได้ พวกเขาจะต้องเจอกับหนึ่งในสี่ทีมที่แข็งแกร่งในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งล้วนแต่เป็นทีมที่มีศักยภาพในการสร้างปัญหาให้กับ "สิงโตคำราม" ได้ทั้งสิ้น แฟนบอลชาวอังกฤษต่างหวังว่าทีมของพวกเขาจะสามารถเดินหน้าคว้าแชมป์ยูโรได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากที่พลาดท่าในรอบชิงชนะเลิศเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา การเข้าถึงรอบลึกๆ ของทัวร์นาเมนต์ครั้งนี้จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของทีมชาติอังกฤษ ด้วยผู้เล่นระดับแนวหน้าอย่าง แฮร์รี่ เคน (Harry Kane) จู๊ด เบลลิงแฮม ((Jude Bellingham)) และดาวรุ่งอีกมากมาย อังกฤษถือเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ ยูโร 2024 อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะต้องแสดงฟอร์มที่ดีที่สุดในทุกนัดที่เหลือ เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายสูงสุดในการคว้าถ้วยรางวัลกลับบ้าน

แฟนบอลทั่วประเทศอังกฤษต่างรอคอยที่จะเห็นทีมของพวกเขาลงสนามในวันเสาร์นี้ ด้วยความหวังว่าจะได้เห็นชัยชนะและก้าวเข้าใกล้ความฝันในการคว้าแชมป์ยุโรปมากยิ่งขึ้น การแข่งขันนี้จะเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่ สมัคร sbobet โดยตรง เพื่อร่วมสนุกและติดตามการแข่งขันอย่างใกล้ชิด สมัคร sbobet โดยตรง สามารถทำให้คุณไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวและข่าวสารจากสนามแข่ง อย่าลืม สมัคร sbobet โดยตรง เพื่อเพิ่มประสบการณ์การเชียร์ทีมชาติอังกฤษของคุณให้เข้มข้นยิ่งขึ้น

โฟเดนเดินทางกลับอังกฤษเพื่อดูแลภรรยาคลอดลูก ก่อนกลับมาร่วมทีมทันเกมกับสโลวาเกีย

ฟิล โฟเดน กองกลางตัวรุกทีมชาติอังกฤษ กำลังเดินทางกลับมาร่วมทีมชาติอังกฤษ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเกมรอบ 16 ทีมสุดท้าย ในศึกยูโร 2024 ที่จะพบกับทีมชาติสโลวาเกีย ในวันอาทิตย์นี้ หลังจากที่เขาได้เดินทางกลับประเทศอังกฤษเพื่อดูแลภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์

สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (FA) ได้เปิดเผยเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า โฟเดนได้เดินทางกลับประเทศอังกฤษด้วยเหตุผลทางครอบครัวที่สำคัญ ซึ่งทาง Sky Sports News ได้รับทราบว่า โฟเดนได้เดินทางกลับไปเพื่ออยู่เคียงข้างภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ โดยได้รับการอนุญาตจากแกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เพื่อเฝ้าดูการคลอดบุตรคนที่ 3 ของเขา

คาดว่าโฟเดนจะกลับมาร่วมทีมได้ทันการฝึกซ้อมแบบปิดในวันศุกร์นี้ โดยก่อนหน้านี้ เซาธ์เกตได้ส่งเขาลงเล่นตัวจริงในเกมรอบแบ่งกลุ่มทั้ง 3 นัดที่พบกับเซอร์เบีย เดนมาร์ก และสโลวีเนีย ซึ่งทีมอังกฤษจบอันดับ 1 ของกลุ่ม C

อย่างไรก็ตาม ทีมอังกฤษทำได้เพียง 5 คะแนนและยิงได้เพียง 2 ประตูในรอบแบ่งกลุ่ม ขณะที่ตำแหน่งการเล่นของโฟเดนที่ริมเส้นฝั่งซ้ายในแนวรุกก็ถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพ

ทีมชาติอังกฤษมีโปรแกรมพบกับสโลวาเกียในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่เมืองเกลเซนเคียร์เชน ในวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายนนี้ เวลา 23.00 น. ตามเวลาประเทศไทย หากผ่านเข้ารอบต่อไปได้ จะพบกับผู้ชนะระหว่างสวิตเซอร์แลนด์หรืออิตาลีในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ตาม ยูโร 2024 ตาราง การแข่งขัน

มาร์ค กือฮี ไม่มีสายที่ง่ายในยูโร 2024

มาร์ค กือฮี กองหลังทีมชาติอังกฤษ ได้ออกมาปฏิเสธความคิดที่ว่าอังกฤษได้อยู่ในสายที่ "เอื้อประโยชน์" ในการแข่งขันยูโรปีนี้ ขณะที่ทีมของเซาธ์เกตกำลังเตรียมพร้อมสำหรับรอบน็อคเอาท์ที่จะพบกับสโลวาเกีย

หลังจากจบรอบแบ่งกลุ่มเมื่อคืนวันพุธ ผลการแข่งขันที่จอร์เจียเอาชนะโปรตุเกสได้อย่างน่าตกใจ ทำให้ทีมรองแชมป์ยูโร 2020 อย่างอังกฤษหลีกเลี่ยงการเจอกับเนเธอร์แลนด์ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ตาม ยูโร 2024 ตาราง การแข่งขัน

แทนที่จะต้องเผชิญหน้ากับทีมอันดับ 7 ของโลกตามการจัดอันดับของฟีฟ่า อังกฤษจะได้พบกับสโลวาเกียที่อยู่อันดับ 45 ของโลกในวันอาทิตย์นี้ นอกจากนี้ สเปน เยอรมนี โปรตุเกส ฝรั่งเศส และเบลเยียม ยังอยู่ในอีกสายหนึ่งของตารางการแข่งขัน ซึ่งยิ่งเพิ่มความคาดหวังให้กับทีมอังกฤษที่ถูกเสียงโห่จากแฟนบอลหลังจบเกมเสมอสโลวีเนีย 0-0 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

"ผมคิดว่าทุกคนได้เห็นแล้วในการแข่งขันครั้งนี้ว่าไม่มีสายไหนที่ง่ายเลย" กือฮีกล่าว "ทุกทีม ทุกคู่แข่ง ล้วนแต่เป็นทีมที่แข็งแกร่งทั้งนั้น ผมคิดว่าเราต้องรักษาความสงบและมีสมาธิ"

สุดฮา! กอร์ดอนตกจักรยาน กลายเป็นตัวตลกในแคมป์ทีมชาติอังกฤษ

แอนโธนี่ กอร์ดอน กองหน้าทีมชาติอังกฤษ กลายเป็นตัวตลกในแคมป์ทีมชาติ หลังจากที่เขาตกจักรยานและทำให้คางเป็นแผล

กอร์ดอนวัย 23 ปี ได้ลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ใหญ่เป็นครั้งแรกในฐานะตัวสำรองช่วงท้ายเกมที่เสมอกับสโลวีเนีย 0-0 เมื่อวันอังคาร ซึ่งทำให้อังกฤษการันตีแชมป์กลุ่ม C ตาม ยูโร 2024 ตาราง การแข่งขัน

ทีมชาติอังกฤษจะต้องเร่งปรับปรุงฟอร์มการเล่นให้ดีขึ้น หลังจากที่ทำผลงานได้ไม่ดีนักในรอบแบ่งกลุ่ม โดยเฉพาะในแนวรุกที่ยิงได้เพียง 2 ประตูจาก 3 นัด อย่างไรก็ตาม การกลับมาของโฟเดนน่าจะช่วยเพิ่มความคมในแนวรุกได้มากขึ้น ขณะที่เหล่านักเตะต่างมีความมุ่งมั่นที่จะพาทีมเข้าสู่รอบลึกๆ ของการแข่งขันในครั้งนี้ ตาม ยูโร 2024 ตาราง การแข่งขันที่วางไว้

 

ข่าวด่วน! อันเดรีย เบล็อตติ (Andrea Belotti) ตัดสินใจอำลา โรม่า เพื่อเริ่มต้นบทใหม่กับ โคโม่ (Como) ทีมน้องใหม่แห่งศึก เซเรียอา ในฤดูกาลหน้า การย้ายทีมครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในเส้นทางอาชีพของกองหน้าทีมชาติอิตาลีวัย 30 ปีรายนี้

เบล็อตติ (Andrea Belotti) ซึ่งเพิ่งถูก โรม่า (AS Roma) ปล่อยให้ ฟิออเรนติน่า (ACF Fiorentina) ยืมตัวไปใช้งานเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม โคโม่ (Como) อย่างถาวรด้วยค่าตัว 4.5 ล้านยูโร หรือประมาณ 180 ล้านบาท ตามรายงานจากสื่อในประเทศอิตาลี การย้ายทีมครั้งนี้จะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันเปิดตลาดซื้อขายนักเตะภาคฤดูร้อน

ตามรายงานเพิ่มเติม เบล็อตติ (Andrea Belotti) ได้ตกลงเซ็นสัญญากับ โคโม่ (Como) เป็นระยะเวลา 2 ปี นับเป็นก้าวสำคัญของทั้งตัวนักเตะและสโมสร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ โคโม่ (Como) ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นใน เซเรียอา และต้องการประสบการณ์จากนักเตะระดับสูงเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีม

เบล็อตติ (Andrea Belotti) ซึ่งมีประสบการณ์ติดทีมชาติอิตาลีมาแล้ว 44 นัด และเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่คว้าแชมป์ยูโร 2020 ได้แสดงความเห็นถึงการย้ายทีมครั้งนี้ว่า "ผมเลือก โคโม่ (Como) เพราะผมประทับใจโปรเจกต์ที่ทะเยอทะยานของโค้ช และเจ้าของที่นำเสนอกับผม" คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของ โคโม่ (Como)ที่ต้องการสร้างทีมให้แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จใน เซเรียอา

เชส ฟราเบกาส อดีตกองกลางทีมชาติสเปนที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าโค้ชของ โคโม่ (Como) ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเซ็นสัญญากับ เบล็อตติ (Andrea Belotti) ว่า "ประสบการณ์ของเขาใน เซเรียอา เป็นสิ่งที่สำคัญ และเรารู้ว่าเขามีความสามารถที่จะยิงประตูได้" คำพูดนี้แสดงให้เห็นถึงความคาดหวังที่ โคโม่ มีต่อ เบล็อตติ (Andrea Belotti) ในการช่วยยกระดับทีมด้วยประสบการณ์และความสามารถในการทำประตู

การย้ายทีมของ เบล็อตติ (Andrea Belotti) ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับตัวนักเตะเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับ โคโม่ (Como) ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันในลีกสูงสุดของอิตาลี การเซ็นสัญญากับนักเตะที่มีประสบการณ์สูงอย่าง เบล็อตติ (Andrea Belotti) แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของสโมสรในการสร้างทีมที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพในการแข่งขันกับทีมชั้นนำของลีก

สำหรับ โรม่า (AS Roma) การปล่อยตัว เบล็อตติ (Andrea Belotti) อาจเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนทีมและเปิดโอกาสให้กับนักเตะรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพ ในขณะเดียวกัน ฟิออเรนติน่า (ACF Fiorentina) ที่เพิ่งยืมตัว เบล็อตติ (Andrea Belotti) มาใช้งาน อาจต้องมองหาตัวเลือกใหม่ในตำแหน่งกองหน้าสำหรับฤดูกาลหน้า

การย้ายทีมครั้งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในวงการฟุตบอลอิตาลี ที่ทีมน้องใหม่อย่าง โคโม่ (Como) สามารถดึงดูดนักเตะระดับทีมชาติได้ แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาและการลงทุนในทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้น ซึ่งอาจนำไปสู่การแข่งขันที่น่าสนใจมากขึ้นใน เซเรียอา ฤดูกาลหน้า

แฟนบอลทั่วอิตาลีและทั่วโลกเลือกที่จะ แทง บอล ออนไลน์ และต่างจับตามองการย้ายทีมครั้งนี้ด้วยความสนใจ โดยหวังว่าจะได้เห็น เบล็อตติ (Andrea Belotti) กลับมาโชว์ฟอร์มเก่งอีกครั้งในสีเสื้อของ โคโม่ (Como) และช่วยให้ทีมน้องใหม่สามารถสร้างผลงานที่น่าประทับใจใน เซเรียอา ได้ ในขณะเดียวกัน การแข่งขันในลีกอิตาลีฤดูกาลหน้าก็น่าจะทวีความเข้มข้นมากขึ้น เมื่อทีมต่างๆ ต่างเสริมทัพเพื่อชิงชัยในลีกที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานนี้

วันนี้ทางเรา จึงสรุปข่าวของอันเดรีย เบล็อตติ มาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ และหากใครอยากเดิมพันเลือก แทง บอล ออนไลน์ กับเราได้เลยครับ

ก่อนจะโบกมือลาศึกยูโรป้า ลีค แล้วไปลุยกันต่อในพรีเมียร์ลีคสุดสัปดาห์นี้ เราขอย้อนผลงานทีมจากพรีเมียร์ลีคก่อนว่า มีทีมไหนทำผลงานได้อย่างไรในเกมยูโรป้าลีคบ้าง ต้องบอกว่า ผลการแข่งขันอันน่าเหลือเชื่อของหลายทีมได้ส่งให้พวกเค้าเข้ารอบน็อคเอาท์ไปรอได้เลย

บราก้า กับ เลสเตอร์ ซิตี้

จิ้งจอกสยาม ลงสนามในเกมนี้ด้วยความมุ่งมั่นอย่างมาก หากพวกเค้าเอาชนะ หรือเก็บแต้มได้ เท่ากับว่าพวกเค้าจะเข้ารอบต่อไปได้เลย นั่นทำให้เกมนี้ต้องเน้นหน่อย แต่ทางบราก้า ก็ไม่ได้ทำให้เกมนี้มันง่ายแบบนั้นพวกเค้าออกนำเลสเตอร์ ถึง 3 ครั้งด้วยทั้ง เลสเตอร์ ก็สวมวิญญาณตายยาก ด้วยการไล่ตามตีเสมอถึง 3 ครั้งโดยเฉพาะ ช่วงสุดท้ายที่ บราก้ามานำตอนนาทีที่ 90 แล้ว เลสเตอร์ โดย วาร์ดี้ มาตีเสมอในนาทีที่ 90+5 จากจังหวะโต้กลับ พาทีมเก็บ 1 แต้มทองพาทีมเข้ารอบไป

โมลด์ กับ อาร์เซนอล

ปืนใหญ่อาร์เซนอล อาจจะฟอร์มไม่ดีในลีค แต่ว่าเกมยูโรป้าลีค บอกเลยว่า ไว้ใจได้เสมอ เกมนี้เจอกับ โมลด์ คู่แข่งที่น่าจะสูสีมากที่สุดแล้วในกลุ่มนี้ แต่ว่าพอลงสนามจริง คุณภาพ แตกต่างกันมากไม่ได้ใกล้เคียงเลย นักเตะอาร์เซนอล เล่นกันแบบไม่ประมาท ชนะไปแบบไม่ยากอะไร 3-0 เกมนี้ นิโคลัส เปเป้ กลับมาคืนฟอร์มเล่นได้ดีมากบวกกับทำได้ 1 ประตู น่าจะเรียกความเชื่อมั่นจากเพื่อนได้พอสมควร

สเปอร์ส กับ ลูโดโกเรตส์

อีกเกมที่บอกเลยว่า ห่างชั้นกันเกินไปหน่อย สเปอร์ส ที่เปิดบ้านรับ ลูโดโกเรตส์ เกมนี้ สเปอร์ส โรเตชั่นนักเตะสำรองลงมาผสมเยอะ ทำให้แฟนบอลอาจจะคิดว่างานนี้อาจโดนเหมือนเกม อันทเวิร์ป แต่ไม่เลย ทีมสำรองชุดนี้มีคุณภาพและการปิดเกมได้ตามแท็คติคมูรินโญ่เลย คาร์ลอส วินิซิอุส เด่นมากกับ ยิง 2 จ่าย 1 เดเล่ อัลลี ก็ได้ลงด้วยทำ 1 แอสซิสต์ ฟอร์มกำลังมาเลยทีเดียว อีกอย่างลูกยิงของ แฮร์รี่ วิงส์ ยิงไก่ 65 หลา อย่างสวยติดทำเนียบประตูสวยประจำซีซั่นนี้ได้เลย  

ต้องยอมรับว่า เป็นอีกหนึ่งเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้แมตช์อีกครั้งหนึ่งที่สนุก สุดมันอย่างมากแบบที่แฟนบอลรอคอย น่าเสียดายดายอย่างเดียวที่แฟนบอลไม่สามารถเข้าไปชมเกมนี้ในสนามได้ ไม่งั้นมันคงจะสนุกสุดมันกว่านี้ ผลการแข่งขัน 2-2 ถือว่าเหมาะสมไปทั้งสองฝ่าย แต่ถ้ามองจากฝั่งลิเวอร์พูลอาจจะต้องบ่นอุบทีเดียวกับโชคร้ายของเค้าในเกมนี้ที่บอกเลยว่าได้ไม่คุ้มเสีย

อาการบาดเจ็บของ ฟานไดค์

เกมนี้จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ พวกเค้าเล่นด้วยยาก เจอปัญหาลูกโด่งตลอดส่วนหนึ่งเพราะว่า พวกเค้าต้องมาเสียนักเตะคนสำคัญอย่าง เวอร์กิล ฟานไดค์ ไปในเวลาอันรวดเร็ว จากการเข้าปะทะของ ฟานไดค์ กับ พิกฟอร์ด จนทำให้เค้าต้องออกจากสนามไปด้วยอาการบาดเจ็บ ไม่เพียงเท่านั้น เจ็บแล้วยังไม่ได้จุดโทษอีกต่างหาก เนื่องจากกรรมการมองว่ามีการล้ำหน้าไปก่อนหน้านั้น น่าคิดเหมือนกันว่า ถ้าฟานไดค์ ยังอยู่ จะโดนลูกกลางอากาศอยู่ไหมก็น่าคิด

ลูกกลางอากาศ ทำพิษ

ความโชคร้ายของลิเวอร์พูลดอกที่สอง หลังจากฟานไดค์ ออกไป เหมือนนักเตะเอฟเวอร์ตันจะรู้งาน พวกเค้ารู้ว่า โจ โกเมซ ไม่ได้เป็นกองหลังที่เก่งขนาดนั้น นั่นเท่ากับว่าพวกเค้ามีโอกาสทำประตูเพื่อชนะได้ จะเห็นว่าเอฟเวอร์ตันพร้อมจะบุกและเจาะช่องจากโกเมซตลอด ทั้งบนดินและกลางอากาศ แต่กลางอากาศจะหนักหน่อย จนเป็นที่มาของลูกตีเสมอจาก ไมเคิล คีน และ ลูกตีเสมอรอบสองจาก โดมินิค

VAR พาล้ำหน้า

แม้จะมีการโดนบุกสวนเป็นระยะ แต่ลิเวอร์พูลก็นิ่งพอจะยันสถานการณ์เหล่านั้นเอาไว้ พร้อมกับพยายามบุกเพื่อเอาประตูชนะให้ได้ จนมาประสบความสำเร็จจาก ฝีเท้าของ จอร์แดน เฮนเดอร์สันที่ เล่นได้เด่นมาก แต่ว่ากรรมการจับล้ำหน้าของ มาเน่ ในก่อนหน้านั้น ซึ่งความโชคร้ายของเหตุการณ์นี้ก็คือ มาเน่ ล้ำหน้าเพียงแค่แขนเสื้อไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้นเอง เลยทำให้พวกเค้าไม่ชนะเอฟเวอร์ตันต่อไป

 

แล้วก็เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ทีมจากอังกฤษทำได้ ในการเข้าชิงถ้วยฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่อย่าง UCL คราวนี้เป็นการเจอกันเองของทีมจากอังกฤษด้วยกัน หรือที่เรียกกันว่า England final ฝั่งเชลซีที่ฝ่าด่าน รีล มาดริด มาได้แบบเหนือกว่าเห็นๆ เรามาย้อนดูสถิติที่น่าสนใจในการเข้าชิงครั้งนี้กันบ้าง

การเข้าชิงครั้งที่สาม

หลังจากที่จบเกมกับ รีล มาดริด เชลซี ได้เข้าชิงชนะเลิศ UCL เราเลยเห็นภาพความสุขของนักเตะเชลซีหลายคนที่กอดกันกลม เหมือนกับเป็นสิ่งที่พวกเค้ากดดันมาตลอดเกือบทั้งซีซั่นมันถูกปลดออกแล้ว การเข้าชิงรอบนี้เป็นครั้งที่สาม ทั้งสามครั้งมันมีเหตุการณ์สำคัญเหมือนกันอย่างหนึ่งก็คือ ทั้งสามครั้ง เชลซีจะต้องเกิดการเปลี่ยนผู้จัดการทีมทุกครั้งไป ครั้งแรกเป็นการปลด มูรินโญ่ แล้วเอา อัฟราม แกรนท์ มาทำทีมแทน ครั้งที่สองในปี 2012 ปลด อังเดร วิลลาส โบอาส จากนั้นไปใช้บริการ โรแบร์โต้ ดิมัตเตโอ และครั้งนี้ก็ปลด แฟรงค์ แลมพาร์ด เปลี่ยนเป็น โทมัส ทูเคิ่ล อย่างที่เรารู้กัน

ทูเคิ่ล ข่มซีดาน

อีกหนึ่งสถิติเป็นเรื่องของผู้จัดการทีมกันบ้าง ไม่น่าเชื่อว่า โทมัส ทูเคิ่ล เป็นกุนซือที่แม้จะอยู่ต่างลีคกับ ซีดาน แต่เค้าดวลกับซีดานมามากกว่า ห้าครั้ง ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่า เค้าไม่เคยพาทีมแพ้ลูกทีมของซีดานเลยแม้แต่ครั้งเดียว เจอกันมาหกครั้ง เสมอสอง ชนะสี่ ถือว่าเป็นกุนซือที่แพ้ทางเหมือนงูเหลือมกับเชือกกล้วย

ยังไม่หมด ทูเคิ่ล ยังมีอีกหนึ่งสถิติที่เป็นเครื่องยืนยันว่าเค้าไม่ฟลุคแน่นอน ก็คือ เข้าเป็นกุนซือคนแรกที่พาทีมเข้าชิง UCL สองซีซั่นติดกัน โดยที่ต่างทีมกัน นี่เป็นเครื่องยืนยันว่า เค้าเป็นของจริงแบบไม่ต้องสงสัยอะไรกันอีกแล้ว

กองเต้ ก็คือกองเต้

เกมระหว่าง เชลซี กับ รีล มาดริด นักเตะที่สร้างความแตกต่างได้มากที่สุดก็คือ เอ็นโกโล่ กองเต้ กองกลางตัวรับที่เรามองว่าดีที่สุดในโลกไปแล้วในเวลานี้ ที่ว่าอย่างนั้นก็เพราะว่าเกมรอบนี้ทั้งสองเกม เค้าเป็นคนที่คว้าผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเกมนั้นไปครองทั้งสองเกมเลย การที่เค้าไปโผล่ทั้งเกมรับ และเกมรุก น่าจะทำให้เกมรุกของ รีล มาดริด หลอนกองเต้ไปอีกนานทีเดียว สถิติเหล่านี้เป็นตัวบอกถึงความยอดเยี่ยมของเชลซีที่ผ่านเข้ารอบมาได้ 

ตัวแทนจากพรีเมียร์ลีค ใครจะมากู้วิกฤติที่บาร์ซ่า

แม้ว่าเกมเมื่อคืน บาร์ซา จะเอาชนะเกมยากอย่างเซบีญ่า มาได้ เก็บเพิ่มอีก 3 คะแนน จนสะสมเป็น 53 คะแนน ตามจี้จ่าฝูงอย่าง แอต.

มาดริด อยู่ เพียงแค่ 2 แต้ม แต่แข่งมากกว่า 2 เกม ถือว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้น แต่ว่าก็มีข่าวออกมาว่า บอร์ดบาร์ซา ไม่ค่อยพอใจผลงานของ คูมัน เทรนเนอร์สักเท่าไรมีข่าวออกมาว่า พวกเค้าจะดึงกุนซือจากพรีเมียร์ลีคไปทำงานแทนที่ เรามาดูกันว่าใครพอจะเป็นไปได้บ้าง ไม่นับ เป๊ป ที่เป็นไปได้มากสุดอยู่แล้ว

เจอร์เก็น คล็อปป์

คนแรกที่เรามองว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงเลย เจอร์เก็น คล็อปป์ กำลังประสบปัญหาเหมือนครั้งปีสุดท้ายตอนคุมดอร์ทมุนด์ที่ผลงานของทีมตกลงไปอย่างมาก แม้ว่าจะแก้เก้อด้วยเหตุผลเรื่องผู้เล่นบาดเจ็บได้ แต่เอาจริงก็มาอ้างทั้งหมดไม่ได้ เค้าต้องรับผิดชอบผลงานนั้นด้วย ซึ่งคล็อปป์เองหากต้องลาทีมไปเชื่อว่าคงไม่มีใครโกรธเค้าเพราะว่าเค้าทำให้ความฝันของเดอะ ค็อปทั่วโลกเป็นจริงแล้วกับแชมป์พรีเมียร์ลีค หากเจ้าตัวอยากจะท้าทายตัวเองด้วยการไปคุมบาร์ซาก็น่าสนใจ

เบรแดน ร็อดเจอร์ส

อีกคนที่เรามองว่าส่วนตัวเหมาะกับบาร์ซามากก็คือ เบรแดน ร็อดเจอร์ส เค้ายกระดับจิ้งจอกสยาม เลสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นมาเป็นทีมหัวตารางของลีคอีกครั้ง ถือว่าเป็นผลงานที่สุดยอดมากทีเดียว บวกกับการปั้นนักเตะหลายคนให้กลายเป็นซุปตาร์ลูกหนัง ไม่ว่าจะเป็น เจมส แมดดิสัน, ฮาร์วีย์ บาร์น ,โซยุนคู น่าจะเหมาะกับบาร์ซาตอนนี้ที่กำลังสร้างทีมสายเลือดใหม่นั่นเอง

มาร์เซโล่ บิเอลซ่า

บาร์ซาเป็นทีมที่เล่นบอลสนุก บอลเร้าใจ หากจะหาใครสักคนที่ทำทีมฟุตบอลแบบถอยไม่ได้ รุกเดินหน้าอย่างเดียว ก็คือ มาร์เซโล่ บิเอลซ่านี่แหละ บวกกับประสบการณ์ บารมี ที่น่าจะเอานักเตะอยู่ ไหนจะผลักดันดาวรุ่งให้เกิดบนโลกลูกหนังอย่างมากมาย หากเป็นเค้าย้ายไปคุมทีมก็น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะ ว่าแต่ลีดส์ จะยอมไหมล่ะ

นักเตะหน้าคุ้น ชื่อคุ้น ของทีมอิสตันบูล

หากมองให้ดี การที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกรอบไปเล่นยูโรป้าลีค ทั้งที่ชนะมารวดสองเกมแรก มีโอกาสในมือแท้ๆ แต่ทำไม่ได้ เชื่อว่าเกมที่พวกเค้าแพ้อิสตันบูล ในเกมนัดแข่งที่สาม น่าจะเป็นตัวแปรสำคัญเลยหากพวกเค้าเก็บเกมนั้นได้ ทุกอย่างมันคงจบตั้งแต่เกมนัดที่ 4 ที่พวกเค้าเอาชนะไปได้อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามแม้ว่า อิสตันบูลหลายคนอาจจะมองว่าเป็นไม้ประดับของกลุ่ม แต่ถ้าดูรายชื่อนักเตะ คนดูบอลพรีเมียร์ลีค อาจจะนึกไม่ถึงว่าเค้าเหล่านี้อยู่ทีมนี้ด้วยมีใครบ้าง

ราฟาเอล ดา ซิลวา

คนแรกที่ถือว่ามีความคุ้นเคยกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างดีเลยก็คือ ราฟาเอล ดา ซิลวา แบ็คที่เคยมาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีคกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วย เค้าคนนี้เคยสร้างชื่อจากตำนานแบ็คฝาแฝดชาวบราซิลเลี่ยนคู่กับอีกคนชื่อว่า ฟาบิโอ แล้วคนนี้ต้องยอมรับว่า ไม่ค่อยเจ็บเท่าไร ทำให้ได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นอีกหนึ่งดาวรุ่งที่พร้อมจะมาแย่งตำแหน่งรุ่นพี่ในเวลานั้น

เดมบา บา

คนที่สอง เราเชื่อว่าแฟนเชลซี และ แฟนลิเวอร์พูล ไม่มีวันลืมเค้าอย่างแน่นอน ในยุคที่ลิเวอร์พูลขับเคลื่อนเกมโดยชายที่ชื่อว่า สตีเว่น เจอร์ราด พวกเค้าเคยเข้าใกล้แชมป์พรีเมียร์ลีคมากที่สุด แต่ว่าคนที่ทำพลาดหลุดมือไปก็คือสตีเว่น เจอร์ราดเอง โดยพวกเค้าไปแพ้ฟุตบอลแบบมูรินโญ่สไตล์ที่บ้านของเชลซี โดยคนที่ทำให้ความหวังมันดับลงไปก็คือ เดมบา บานี่แหละ แต่หลังจากนั้นศูนย์หน้าคนนี้แฟนบอลอาจจะไม่ได้จดจำอะไรเท่าไร

มาร์ติน สเคอร์เทล

อีกหนึ่งคนที่แฟนบอลลิเวอร์พูล น่าจะจำได้ มาร์ติน สเคอร์เทล เคยเล่นให้กับลิเวอร์พูลช่วงปี 2008-2016 ตำแหน่งกองหลังของทีม ในเวลานั้นต้องบอกว่า เค้านี่ถือว่าเป็นพี่ใหญ่ที่คอยรับหน้าแทนน้องด้วยความแข็งแกร่ง แข็งกร้าวตามสไตล์ขาใหญ่ของทีมเลย เชื่อว่าแฟนบอลน่าจะจำเค้าได้ทั้งสามคน