Skip to content

ต้องยอมรับว่า เป็นอีกหนึ่งเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้แมตช์อีกครั้งหนึ่งที่สนุก สุดมันอย่างมากแบบที่แฟนบอลรอคอย น่าเสียดายดายอย่างเดียวที่แฟนบอลไม่สามารถเข้าไปชมเกมนี้ในสนามได้ ไม่งั้นมันคงจะสนุกสุดมันกว่านี้ ผลการแข่งขัน 2-2 ถือว่าเหมาะสมไปทั้งสองฝ่าย แต่ถ้ามองจากฝั่งลิเวอร์พูลอาจจะต้องบ่นอุบทีเดียวกับโชคร้ายของเค้าในเกมนี้ที่บอกเลยว่าได้ไม่คุ้มเสีย

อาการบาดเจ็บของ ฟานไดค์

เกมนี้จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ พวกเค้าเล่นด้วยยาก เจอปัญหาลูกโด่งตลอดส่วนหนึ่งเพราะว่า พวกเค้าต้องมาเสียนักเตะคนสำคัญอย่าง เวอร์กิล ฟานไดค์ ไปในเวลาอันรวดเร็ว จากการเข้าปะทะของ ฟานไดค์ กับ พิกฟอร์ด จนทำให้เค้าต้องออกจากสนามไปด้วยอาการบาดเจ็บ ไม่เพียงเท่านั้น เจ็บแล้วยังไม่ได้จุดโทษอีกต่างหาก เนื่องจากกรรมการมองว่ามีการล้ำหน้าไปก่อนหน้านั้น น่าคิดเหมือนกันว่า ถ้าฟานไดค์ ยังอยู่ จะโดนลูกกลางอากาศอยู่ไหมก็น่าคิด

ลูกกลางอากาศ ทำพิษ

ความโชคร้ายของลิเวอร์พูลดอกที่สอง หลังจากฟานไดค์ ออกไป เหมือนนักเตะเอฟเวอร์ตันจะรู้งาน พวกเค้ารู้ว่า โจ โกเมซ ไม่ได้เป็นกองหลังที่เก่งขนาดนั้น นั่นเท่ากับว่าพวกเค้ามีโอกาสทำประตูเพื่อชนะได้ จะเห็นว่าเอฟเวอร์ตันพร้อมจะบุกและเจาะช่องจากโกเมซตลอด ทั้งบนดินและกลางอากาศ แต่กลางอากาศจะหนักหน่อย จนเป็นที่มาของลูกตีเสมอจาก ไมเคิล คีน และ ลูกตีเสมอรอบสองจาก โดมินิค

VAR พาล้ำหน้า

แม้จะมีการโดนบุกสวนเป็นระยะ แต่ลิเวอร์พูลก็นิ่งพอจะยันสถานการณ์เหล่านั้นเอาไว้ พร้อมกับพยายามบุกเพื่อเอาประตูชนะให้ได้ จนมาประสบความสำเร็จจาก ฝีเท้าของ จอร์แดน เฮนเดอร์สันที่ เล่นได้เด่นมาก แต่ว่ากรรมการจับล้ำหน้าของ มาเน่ ในก่อนหน้านั้น ซึ่งความโชคร้ายของเหตุการณ์นี้ก็คือ มาเน่ ล้ำหน้าเพียงแค่แขนเสื้อไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้นเอง เลยทำให้พวกเค้าไม่ชนะเอฟเวอร์ตันต่อไป

 

แล้วก็เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ทีมจากอังกฤษทำได้ ในการเข้าชิงถ้วยฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่อย่าง UCL คราวนี้เป็นการเจอกันเองของทีมจากอังกฤษด้วยกัน หรือที่เรียกกันว่า England final ฝั่งเชลซีที่ฝ่าด่าน รีล มาดริด มาได้แบบเหนือกว่าเห็นๆ เรามาย้อนดูสถิติที่น่าสนใจในการเข้าชิงครั้งนี้กันบ้าง

การเข้าชิงครั้งที่สาม

หลังจากที่จบเกมกับ รีล มาดริด เชลซี ได้เข้าชิงชนะเลิศ UCL เราเลยเห็นภาพความสุขของนักเตะเชลซีหลายคนที่กอดกันกลม เหมือนกับเป็นสิ่งที่พวกเค้ากดดันมาตลอดเกือบทั้งซีซั่นมันถูกปลดออกแล้ว การเข้าชิงรอบนี้เป็นครั้งที่สาม ทั้งสามครั้งมันมีเหตุการณ์สำคัญเหมือนกันอย่างหนึ่งก็คือ ทั้งสามครั้ง เชลซีจะต้องเกิดการเปลี่ยนผู้จัดการทีมทุกครั้งไป ครั้งแรกเป็นการปลด มูรินโญ่ แล้วเอา อัฟราม แกรนท์ มาทำทีมแทน ครั้งที่สองในปี 2012 ปลด อังเดร วิลลาส โบอาส จากนั้นไปใช้บริการ โรแบร์โต้ ดิมัตเตโอ และครั้งนี้ก็ปลด แฟรงค์ แลมพาร์ด เปลี่ยนเป็น โทมัส ทูเคิ่ล อย่างที่เรารู้กัน

ทูเคิ่ล ข่มซีดาน

อีกหนึ่งสถิติเป็นเรื่องของผู้จัดการทีมกันบ้าง ไม่น่าเชื่อว่า โทมัส ทูเคิ่ล เป็นกุนซือที่แม้จะอยู่ต่างลีคกับ ซีดาน แต่เค้าดวลกับซีดานมามากกว่า ห้าครั้ง ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่า เค้าไม่เคยพาทีมแพ้ลูกทีมของซีดานเลยแม้แต่ครั้งเดียว เจอกันมาหกครั้ง เสมอสอง ชนะสี่ ถือว่าเป็นกุนซือที่แพ้ทางเหมือนงูเหลือมกับเชือกกล้วย

ยังไม่หมด ทูเคิ่ล ยังมีอีกหนึ่งสถิติที่เป็นเครื่องยืนยันว่าเค้าไม่ฟลุคแน่นอน ก็คือ เข้าเป็นกุนซือคนแรกที่พาทีมเข้าชิง UCL สองซีซั่นติดกัน โดยที่ต่างทีมกัน นี่เป็นเครื่องยืนยันว่า เค้าเป็นของจริงแบบไม่ต้องสงสัยอะไรกันอีกแล้ว

กองเต้ ก็คือกองเต้

เกมระหว่าง เชลซี กับ รีล มาดริด นักเตะที่สร้างความแตกต่างได้มากที่สุดก็คือ เอ็นโกโล่ กองเต้ กองกลางตัวรับที่เรามองว่าดีที่สุดในโลกไปแล้วในเวลานี้ ที่ว่าอย่างนั้นก็เพราะว่าเกมรอบนี้ทั้งสองเกม เค้าเป็นคนที่คว้าผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเกมนั้นไปครองทั้งสองเกมเลย การที่เค้าไปโผล่ทั้งเกมรับ และเกมรุก น่าจะทำให้เกมรุกของ รีล มาดริด หลอนกองเต้ไปอีกนานทีเดียว สถิติเหล่านี้เป็นตัวบอกถึงความยอดเยี่ยมของเชลซีที่ผ่านเข้ารอบมาได้